“เบกกิ้งโซดา” หรือ “ผงฟู” หรือในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “โซเดียมไบคาร์บอเนต” (ให้ดูส่วนประกอบนิดนึงว่าเป็น โซเดียมไบคาร์บอเน็ต 100% หรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วมันสามารถนำไปทำขนมได้ จึงมีชื่อไทยๆ ว่า “ผงฟู” แต่หลายยี่ห้อเพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำขนมให้ฟู จึงผสมส่วนผสมอย่างอื่น ที่ไม่ใช่โซเดียมไบคาร์บอเน็ต ดังนั้น ราคาจึงแพงกว่า และไม่เหมาะกับการนำมาล้างผักผลไม้ หรือนำมาทำความสะอาด) นอกจากจะสามารถล้างคราบตกค้างของผงซักฟอกในเครื่องซักผ้าแล้ว เราลองมาดูคุณสมบัติต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ของเบกกิ้งโซดา ที่ทำให้เบกกิ้งโซดาสามารถขจัดคราบต่างๆ ดังกล่าวได้
คุณสมบัติของเบกกิ้งโซดาหลักๆ 5 ข้อ มีดังนี้
1. ช่วยกำจัดคราบน้ำมันและไขมัน เนื่องจากเบกกิ้งโซดาเป็นด่างอ่อนๆ เมื่อเจอกับไขมันที่มีฤทธิ์เป็นกรด ก็จะทำปฏิกิริยาให้เป็นกลาง คราบไขมันจึงหลุดออกได้
2. มีประสิทธิภาพในการขัดถู ด้วยโมเลกุลเล็กๆ ของเบกกิ้งโซดา จึงทำให้สามารถกำจัดรอยเปื้อนได้โดยไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนวัตถุ
3. มีประสิทธิภาพในการดับกลิ่น เนื่องจากคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น ดังนั้นเพียงแค่วางเบกกิ้งโซดาทิ้งไว้ ก็สามารถขจัดกลิ่นเหงื่อและกลิ่นขยะเปียกได้
4. มีประสิทธิภาพในการดูดความชื้น เพียงแค่วางเบกกิ้งโซดาไว้ในห้อง ก็ช่วยขจัดความชื้นในห้องได้
5. มีประสิทธิภาพในการทำให้เกิดฟอง เมื่อสัมผัสสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือได้รับความร้อน เบกกิ้งโซดาจะทำปฏิกิริยาให้เกิดฟอง ซึ่งจะทำให้รอยเปื้อนลอยตัวขึ้นมาได้ ทำให้ช่วยขจัดรอยเปื้อนได้ง่ายขึ้น
ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ข้างต้น นอกจากจะทำให้เบกกิ้งโซดาสามารถขจัดคราบต่างๆ ในห้องครัวโดยเฉพาะคราบมัน และคราบตกค้างจากผงซักฟอกในเครื่องซักผ้าแล้ว ยังสามารถกำจัดสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้ (โดยการแช่น้ำ 5 ลิตร ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ แช่ 15 นาที) คราบเหงื่อไคลในห้องน้ำ คราบไขมันในขวดนมเด็กและเช็ดทำความสะอาดของเล่นเด็ก (ใช้เบกกิ้งโซดาซึ่งเป็นเกรดอาหาร ยิ่งทำให้ไว้วางใจได้ว่าไม่มีสารเคมีตกค้างอย่างแน่นอน)
นอกจากนี้ เพื่อให้เบกกิ้งโซดาเกิดประสิทธิภาพสูง แนะนำให้ผสมกับน้ำที่อุณหภูมิ 60-65 องศา เนื่องจากค่าความเป็นด่างของเบกกิ้งโซดาที่ผสมน้ำอุ่นจะสูงขึ้น จะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดรอยเปื้อนที่เป็นกรดได้มากขึ้นเช่นกัน และเบกกิ้งโซดาที่ผสมน้ำอุ่นนี้จะยังคงประสิทธิภาพเดิมถึงแม้ว่าจะเย็นตัวลง แล้วก็ตาม ดังนั้นจึงสามารถผสมเก็บใส่ขวดหัวฉีดไว้ใช้คราวต่อไปได้อีก
ที่มา:
http://anngle.org/th/j-lifestyle/jidea/bakingsoda.html
http://www.sodiumbicarbonate.info